“…บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 30 กรกฎาคม 2540 ทุน 30,618,600 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 496,498,500,502 อาคารอัมรินทร์ ทาวเวอร์ ชั้น 7 ห้อง 1-4 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจร้านอาหาร KFC และร้าน Pizza Hut นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ 31 ธันวาคม 2562 แจ้งว่ารายได้รวม 1,451,879,552 บาท รวมรายจ่าย 981,802,770 บาท กำไรสุทธิ 379,723,475 บาท …”
ปรากฎเป็นข่าวดังในต่างประเทศ ต่อกรณี “NPC International Inc.” ซึ่งเป็นผู้ได้รับแฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดของร้านพิซซ่าเจ้าดังอย่าง “Pizza Hut” ในสหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินใจยื่นขอล้มละลาย Chapter 11 แก่ศาลเขตทางใต้ของรัฐเท็กซัส โดยเหตุผลการยื่นล้มละลาย เป็นเพราะต้นทุนในการดำเนินงานเพิ่มมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐฯ อีกทั้งยอดขายไม่เติบโตตามเป้า ทำให้ยอดขายของ Pizza Hut ในสหรัฐฯเติบโตได้ไม่ดีเหมือนเดิม มาจากการที่หลายแบรนด์คู่แข่งเข้ามาตีตลาด และเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น อาทิ Domino’s Pizza และ Papa John’s Pizza ประกอบกับการต้องปิดหน้าร้านในช่วงโควิด-19 ระบาดในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกับยอดขาย ทำให้ NPC International ไม่สามารถหารายได้มาชำระหนี้ได้ทันเวลาได้
ทั้งนี้ จากรายงานข่าวของสำนักข่าว Bloomberg ยังระบุด้วยว่า NPC มีหนี้กว่า 903 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.88 หมื่นล้านบาท โดยได้เริ่มเจรจากับเจ้าหนี้ไปบางส่วนแล้ว แผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระหนี้ ซึ่งข้อตกลงล่าสุดเจ้าหนี้จะมีส่วนร่วมในการเพิ่มทุนใหม่ แต่จะต้องขายร้านอาหารบางส่วนออกไปอีกด้วย
น่าสนใจว่าธุรกิจของ Pizza Hut ในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง?
จากการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ ร้าน “Pizza Hut” ในประเทศไทย พบว่า เป็นหนึ่งในธุรกิจแฟรนไชส์ ของ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด “ยัม! ประเทศไทย” เป็นบริษัทในเครือ ยัม! เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ยัม! แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตั๊กกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดย ยัม! แบรนด์ส อิงค์ เป็นผู้นําด้านธุรกิจอาหารระดับโลกซึ่งบริหารร้านอาหารเคเอฟซี พิซซ่าฮัท และทาโก้ เบลล์ กว่า 38,000 สาขาใน 120 กว่าประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ คำว่า “ยัม” (Yum) เป็นแสลงภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า “อร่อย หรือ โอชะ” ซึ่งเป็นปรัชญาการให้บริการของ ยัม! แบรนด์ส อิงค์ ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วโลก รวมทั้งฝาก “ความอร่อย” ไว้บนใบหน้าของลูกค้าทุกคนทั่วโลก
สำหรับ ยัม! ประเทศไทย เป็นผู้บริหารและผู้ให้สิทธิแฟรนไชส์ร้านอาหารบริการด่วน เคเอฟซี และ พิซซ่า ฮัท ในประเทศไทย ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารเคเอฟซีในประเทศไทยมากว่า 20 ปี โดยแต่เดิมใช้ชื่อบริษัทว่า ไทรคอน อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จากนั้นเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งปีแต่ พ.ศ.2545 จนถึงปัจจุบัน
จากการสืบค้นข้อมูลทางธุรกิจ พบว่า บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 30 กรกฎาคม 2540 ทุน 30,618,600 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 496,498,500,502 อาคารอัมรินทร์ ทาวเวอร์ ชั้น 7 ห้อง 1-4 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
แจ้งประกอบธุรกิจร้านอาหาร KFC และร้าน Pizza Hut
ปรากฎชื่อ นาง แววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล นาง อนุตตรา วิชยภิญโญ นาย เศกชัย ชูหมื่นไวย เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
รายชื่อ ผู้ถือหุ้น ณ 26 เมษายน 2562 เคเอฟซี โฮลดิ้ง โค. (อเมริกัน) ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9993% มูลค่า 30,618,400 บาท หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาย เจฟฟรี่ย์ วิลเลี่ยม สเตียร์แมน นาง ฟาง แองเจล ยาง สัญชาติอเมริกันทั้งคู่
นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ 31 ธันวาคม 2562 แจ้งว่ารายได้รวม 1,451,879,552 บาท รวมรายจ่าย 981,802,770 บาท กำไรสุทธิ 379,723,475 บาท
ขณะที่งบการเงินปี 31 ธันวาคม 2561 แจ้งว่ามีรายได้รวม 1,552,510,390 บาท รวมรายจ่าย 961,766,941 บาท กำไรสุทธิ 503,507,211 บาท
ชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนรายได้และกำไรจากการทำธุรกิจลดลง
ส่วนงบการเงินปี 2563 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก ที่ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือโรคโควิด ในฐานข้อมูล ยังไม่ได้แสดงผลเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี จากตัวเลขผลประกอบการทางธุรกิจของบริษัทฯ ที่รายได้ทะลุหลักพันล้าน 2 ปีติดต่อ ไม่มีหนี้สิน
สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มธุรกิจ เคเอฟซี และ พิซซ่า ฮัท กับรสนิยมการบริโภคของคนไทย ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี ต่างจากสถานการณ์แฟรนไชส์รายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่างมาก
Credit : https://www.isranews.org/article/isranews/90101-repoer03-29.html