“….นพ.วรงค์ กล่าวกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ว่าสาเหตุที่ทำให้มีถ้อยคำสนับสนุนสถาบันเป็นจำนวนมากขึ้นในทวิตเตอร์ ก็เพราะว่ากลุ่มรอยัลลิสต์เริ่มจะมีความรู้สึกว่าต้องมีการตอบโต้กลับกลุ่มผู้ประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ และตัวเขาเองก็สนับสนุนให้ผู้อื่นได้เข้าร่วมทวิตเตอร์มากขึ้นเช่นกัน …“แฮชแท็กเพื่อสนับสนุนสถาบันนั้นของจริง และเกิดจากความรู้สึกที่แท้จริง”
ปรากฏเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับประเด็นทวิตเตอร์ ออกคำสั่งแบนบัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับบัญชีทวิตเตอร์ของกลุ่มรอยัลลิสต์ในประเทศไทยนับหมื่นราย
ทั้งนี้ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้เผยแพร่รายงายวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องนี้ พบว่ามีการจัดตั้งบัญชีทวิตเตอร์นับพันบัญชีในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบัญชีทวิตเตอร์ที่ถูกลงทะเบียนใหม่เหล่านี้มีการแสดงข้อความเกี่ยวกับกิจกรรมในพระราชสำนักอย่างชัดเจนด้วย
มีรายละเอียดดังนี้
ที่ผ่านมา มีการทบทวนข้อความบนทวิตเตอร์นับหมื่นๆข้อความ ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า ข้อความเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมาจากบัญชีทวิตเตอร์ของกลุ่มรอยัลลิสต์ที่แสดงข้อความเพื่อตอบโต้กลับกลุ่มผู้ประท้วงที่กินเวลานานนับเดือน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และปฏิรูปสถาบัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่ามีการปล่อยเอกสารภายในกองทัพซึ่งบ่งชี้หลักฐานชัดเจนถึงปฏิบัติการณ์ที่จะมีการปล่อยข้อมูลอันเป็นประโยชน์และดิสเครดิตกลุ่มเคลื่อนไหวฝั่งตรงข้ามในโลกออนไลน์
โดยกรณีที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด ก็คือ ทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า @jitarsa_school ที่ถูกแบน
ก่อนหน้าที่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้พยายามสอบถามความเห็นไปยังทวิตเตอร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มรอยัลลิสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลมักจะใช้โซเชียลมีเดียเป็นฐานที่มั่นหลักในการสื่อสารและเคลื่อนไหวต่างๆ
ต้องยอมรับว่าทั้งกลุ่มผู้ประท้วงและกลุ่มรอยัลลิสต์เอง ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียค่อนข้างมากในแง่การสนับสนุนการเคลื่อนไหว ซึ่งประเด็นเรื่องโซเชียลมีเดียนั้นถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในการรับมือ
โดยจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า บัญชีทวิตเตอร์ @jitarsa_school ที่ถูกแบนนั้น มีผู้ติดตามจำนวน 48,000 ราย ทั้งๆที่ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
“บัญชีทวิตเตอร์ที่สอบถามมานั้นถูกแบนเนื่องจากละเมิดกฎของเราในการสแปมข้อความ และละเมิดข้อบังคับของแพลตฟอร์ม” ตัวแทนทวิตเตอร์ชี้แจงกับทางสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันที่ 29 พ.ย.
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีของทวิตเตอร์ที่ถูกแบนนั้นพบว่าเป็นการโปรโมตกิจกรรมการฝึกฝนผู้เข้าร่วมโครงการจิตอาสาพระราชทาน (Royal Volunteers) ซึ่งดำเนินการโดยสำนักพระราชวัง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีเพจเฟซบุ๊กชื่อว่าโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน (Royal Volunteers School) ซึ่งแสดงวิดีโอกิจกรรมสนับสนุนพระราชสำนัก และข่าวสารต่างๆ โดยในเฟซบุ๊กนั้นมีการระบุเพจทวิตเตอร์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการชี้แจงจากทางจิตอาสาหรือจากทางโรงเรียนจิตอาสาเกี่ยวกับประเด็นการแบนทวิตเตอร์แต่อย่างใด
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า แฮชแท็กของกลุ่มรอยัลลิสต์หลายแฮชแท็ก เริ่มที่จะเป็นที่นิยมในทวิตเตอร์ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่เริ่มการประท้วงตั้งแต่เดือน ก.ค.
สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้วิเคราะห์แล้วพบว่า มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของทวิตเตอร์ผู้ติดตามทวิตเตอร์บัญชี @jitarsa_school เพิ่งจะมีการลงทะเบียนในช่วงต้นเดือน ก.ย.
ยกตัวอย่างเช่นมีทวิตเตอร์จำนวน 4,600 บัญชี ที่เพิ่งถูกลงทะเบียนขึ้น ปรากฏว่าทวิตเตอร์เหล่านี้ได้มีการโพสต์ข้อความซึ่งมีแฮชแท็กของกลุ่มรอยัลลิสต์ด้วยกัน หรือ ที่เรียกกันว่าการปั่นแฮชแท็กนั่นเอง ซึ่งการปั่นแฮชแท็กดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎผู้ใช้งานของทวิตเตอร์
ขณะที่ทาง Drone Emprit ซึ่งเป็น ที่ปรึกษาด้วยโซเชียลมีเดียให้กับสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้ระบุว่ามี การรีทวีตจำนวน 599 ครั้ง มาจากหลายบัญชีทวิตเตอร์ซึ่งมีลักษณะการปฏิบัติงานที่คล้ายกับบอท
“ฝ่ายรัฐบาลพยายามที่จะออกมาตรการเพื่อบังคับและรับมือกับผู้ประท้วง ที่ผ่านมาพบว่ามีบัญชีทวิตเตอร์หลายบัญชีได้ถูกปิดไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลายบัญชีที่ยังเปิดอยู่” น.ส.สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล จากกลุ่มสันติภาพ การเฝ้าระวังสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media Monitoring for Peace group) กล่าว
ทั้งนี้ นอกเหนือจากกิจกรรมสนับสนุนพระราชสำนักแล้ว ยังพบข้อมูลอีกว่าบัญชีทวิตเตอร์ที่ถูกแบนนั้นได้มีการปั่นแฮชแท็กที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างๆหลายแฮชแท็กด้วยเช่นกัน
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้นำกลุ่มไทยภักดี ได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการแบนบัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าว
โดยกล่าวเพียงสั้นๆว่าเขาไม่ได้รับรู้ในเรื่องเหล่านี้
นพ.วรงค์ กล่าวกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ว่าสาเหตุที่ทำให้มีถ้อยคำสนับสนุนสถาบันเป็นจำนวนมากขึ้นในทวิตเตอร์ ก็เพราะว่ากลุ่มรอยัลลิสต์เริ่มจะมีความรู้สึกว่าต้องมีการตอบโต้กลับกลุ่มผู้ประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ และตัวเขาเองก็สนับสนุนให้ผู้อื่นได้เข้าร่วมทวิตเตอร์มากขึ้นเช่นกัน
“แฮชแท็กเพื่อสนับสนุนสถาบันนั้นของจริง และเกิดจากความรู้สึกที่แท้จริง” นพ.วรงค์กล่าว
โดยที่ผ่านมานั้นกลุ่มรอยัลลิสต์ ได้กล่าวโทษกลุ่มผู้ประท้วงว่าได้มีกระบวนการเคลื่อนไหวด้วยการปั่นแฮชแท็ก การทำสิ่งซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือบนทวิตเตอร์ ด้วยแคมเปญต่างๆที่เกี่ยวกับแฮชแท็ก
แต่ว่า แพนกวิน หรือนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มผู้ประท้วง ได้กล่าวว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้นมีตัวตนจริง และตัวเขาก็สนับสนุนการแบนทวิตเตอร์
“กลุ่มผู้ชุมนุมนั้นไม่ได้ถูกจัดจ้างให้ไปปั่นแฮชแท็กในทวิตเตอร์เหมือนกับพวกกองทัพและพวกเขาก็ไม่ได้ใช้ภาษีประชาชนด้วย” นายพริษฐ์กล่าว
ทั้งนี้ แม้จะไม่พบว่าบัญชีทวิตเตอร์ @jitarsa_school จะมีความเชื่อมโยงกับเอกสารของกองทัพจำนวน 28 หน้า ที่ระบุถึงปฏิบัติการณ์ของกองทัพในการเผยแพร่ข้อความสนับสนุนสถาบันฯบนทวิตเตอร์และ พุ่งเข้าไปที่ฝ่ายตรงข้าม
แต่เอกสารดังกล่าวก็ระบุว่ามีบัญชีทวิตเตอร์จำนวนทั้งสิ้น 17,562 บัญชี ซึ่งถูกจัดการโดยเจ้าหน้าที่จากกองทัพจำนวน 9,743 ราย โดยทางกองทัพจะมีการแบ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นทีมขาวและทีมเทากับดำ พร้อมกับให้คำสั่งว่าต้องทวิตข้อความให้สอดคล้องกับแฮชแท็ก และรีทวิตผู้ใช้บัญชีรายอื่นๆในทีม
ในเอกสารยังได้ระบุถึงวิธีการที่จะทำให้บัญชีทวิตเตอร์ดูเหมือนกับบัญชีผู้ใช้งานตัวตนจริงด้วยเช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ทางกองทัพ ได้ออกมายอมรับถึงข้อเท็จจริงในเอกสาร และระบุต่อไปในเฟซบุ๊กด้วยว่าปฏิบัติการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกเพื่อที่จะเสริมสร้างการประชาสัมพันธ์ให้กับกองทัพ
ย้อนไปเมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ได้ประกาศว่ามีการปิดบัญชีทวิตเตอร์จำนวนทั้งสิ้น 926 บัญชี อันเกี่ยวข้องกับกองทัพไทย เนื่องจากว่าทวิตเตอร์เหล่านี้ได้ละเมิดข้อบังคับของแพลตฟอร์มว่าด้วยการห้ามไม่ให้มีการสแปมข้อความเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ซึ่ง ณ เวลานั้นทางกองทัพ ก็ได้ปฏิเสธไปแล้วว่าบัญชีเหล่านั้นไม่ใช่บัญชีทางการของกองทัพแต่อย่างใด
เรียบเรียงจาก:https://br.reuters.com/article/idUSKBN28910J
Cr : https://www.isranews.org/article/isranews/93840-Mttwit.html