ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การพบหารือกันระหว่างประมุขจีนและสหรัฐอเมริกา ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้บรรลุฉันทามติสำคัญ ไม่เพียงแต่ชี้ทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังได้เสริมสร้างเสถียรภาพและความแน่นอนอันมีค่ายิ่งสำหรับประชาคมโลกที่กำลังเผชิญความผันผวนอีกด้วย
“การทูตระหว่างประมุข” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดในการชี้นำยุทธศาสตร์การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หารือกันทางโทรศัพท์สามครั้งในเดือนมกราคม มิถุนายน และกันยายน รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนกันทางจดหมายหลายครั้ง เพื่อกำหนดท่าทีพื้นฐานและชี้นำทิศทางการปรับปรุงและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ตลอดปีที่ผ่านมา เพื่อปฏิบัติตามฉันทามติสำคัญของผู้นำทั้งสอง ทีมงานเศรษฐกิจและการค้าของจีนและสหรัฐอเมริกาได้จัดการเจรจาหลายรอบที่นครเจนีวา ลอนดอน สตอกโฮล์ม มาดริด เป็นต้น ซึ่งประชาคมระหว่างประเทศได้ให้ความสนใจเกาะติดเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้เป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองอยู่เสมอ
ก่อนการพบกันของผู้นำทั้งสองในครั้งนี้ จีนและสหรัฐอเมริกาได้จัดการเจรจาทางเศรษฐกิจการค้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้บรรลุกรอบฉันทามติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้าระยะเร่งด่วนอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เปิดทางให้การพบกันระหว่างประมุขทั้งสองประเทศที่ปูซานเกิดขึ้นได้ หลังการพบหารือกัน ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับผลการเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์ไปทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกาจะยกเลิกสิ่งที่เรียกว่า “ภาษีเฟนทานิล” อัตรา 10% ที่เรียกเก็บจากสินค้าจีน และจะคงการระงับภาษีตอบโต้ 24% ไว้อีกหนึ่งปี ขณะที่จีนจะปรับมาตรการตอบโต้ภาษีของตนให้สอดคล้องกัน
ผลของการพบกันครั้งนี้ได้นำมาซึ่งปฏิกิริยาเชิงบวกจากประชาคมโลกทันที หลังมีการแถลงข่าวผลการพบหารือกัน ตลาดหุ้นหลักทั่วโลกต่างปรับตัวสูงขึ้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มทรงตัว สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตลาดมีความคาดหวังอย่างแรงกล้าต่อการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้น การตอบสนองอย่างชัดเจนจากตลาดทุนนี้ไม่เพียงบ่งบอกถึงการฟื้นตัวความเชื่อมั่นของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสการเติบโตครั้งใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่อาจกำลังมาถึง “ปรากฎการณ์ปูซาน” ดังกล่าว จึงไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับทวิภาคีเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจอันแรงกล้าที่กระตุ้นความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำในการพบหารือกันครั้งนี้ว่า จีนกับสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มความร่วมมือที่ดีในหลายสาขา เช่น การปราบปรามการอพยพผิดกฎหมายและการหลอกลวงทางโทรคมนาคม การป้องกันการฟอกเงิน ปัญญาประดิษฐ์ การรับมือกับโรคติดต่อ ฯลฯ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเสริมสร้างการเจรจาการสื่อสารการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ผู้นำทั้งสองยังเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า พลังงาน และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า จีนและสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างกว้างขวางและมีขอบเขตความร่วมมือมหาศาล ทั้งสองประเทศสามารถเป็นหุ้นส่วนและมิตรที่สนับสนุนกันและกัน สร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน และสร้างประโยชน์แก่สองประเทศและโลกโดยรวม
แน่นอนว่า จีนและสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศมหาอำนาจที่มีระบบและสภาพสังคมแตกต่างกัน ย่อมหลีกเลี่ยงความเห็นต่างได้ยาก สิ่งสำคัญคือ การเคารพผลประโยชน์หลักและข้อห่วงกังวลสำคัญของกันและกัน พร้อมแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวระหว่างการพบหารือว่า “ทั้งสองฝ่ายควรมองภาพรวมระยะยาว มองผลประโยชน์ที่ความร่วมมือจะนำมา มากกว่าจะจมอยู่กับวงจรการตอบโต้ซึ่งกันและกันที่จะนำมาซึ่งผลเลวร้าย” พร้อมเน้นว่า ทีมงานของทั้งสองฝ่ายควรดำเนินการเจรจาต่อไปโดยยึดหลัก “ความเสมอภาค ความเคารพ และผลประโยชน์ร่วมกัน” เพื่อลดทอนรายการที่เป็นปัญหาและขยายรายการความร่วมมือให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้อธิบาย “รหัสแห่งความสำเร็จของจีน” อย่างละเอียดว่า “ตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา จีนยึดมั่นในแผนงานที่ต่อเนื่อง ทำงานอย่างมุ่งมั่น ไม่เคยคิดจะท้าทายหรือแทนที่ใคร แต่ตั้งใจพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น และแบ่งปันโอกาสแห่งการพัฒนาให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก” คำกล่าวนี้ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ถ่ายทอดสู่ทั่วโลกอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของจีนในการพัฒนาอย่างสันติและสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาและนานาประเทศทั่วโลก
การพบปะระหว่างผู้นำจีน–สหรัฐอเมริกาที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการติดต่อที่สำคัญยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้งหนึ่ง และพิสูจน์อีกหนว่า “จีนและสหรัฐอเมริกาไม่อาจหยุดติดต่อกันได้ การพยายามเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงขึ้นได้ และผลลัพธ์ของความขัดแย้งและการเผชิญหน้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรับได้”
มองไปข้างหน้า จีนและสหรัฐอเมริกาควรเพิ่มการติดต่อ หลีกเลี่ยงการตีความผิดๆ จัดการความแตกต่าง และขยายความร่วมมือ ดำเนินการตามฉันทามติที่บรรลุโดยประมุขทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง ส่งเสริมความสัมพันธ์จีน–สหรัฐอเมริกาให้เดินหน้าอย่างมั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน พร้อมร่วมกันนำพาโลกไปสู่อนาคตที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
เขียนโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)
				









