ซูม (Zoom) ผู้ให้บริการวิดีโอแชทออนไลน์ ออกมาประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสแรก (ก.พ. – เม.ย.) ว่า ทำรายได้ถึง 328.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารายได้ที่ประมาณการไว้ที่ 203 ล้านเหรียญสหรัฐ
อีริค หยวน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของซูมออกมาเปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทว่า ภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ทำให้ความต้องการในการใช้งานพุ่งสูงขึ้น ผู้คนใช้ซูมทั้งในการทำงาน การเรียน และการติดต่อส่วนตัว
รายได้ประจำไตรมาสล่าสุดของซูมสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วถึง 169% จากการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันมาใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเลต ในการสื่อสารแบบเห็นหน้ากันแทนที่ของการพบปะในชีวิตจริง
ก่อนหน้านี้ซูมเคยเผยว่า พวกเขามีผู้ร่วมประชุมต่อวันถึง 300 ล้านคน ขณะที่เมื่อเดือนธันวาคมจำนวนดังกล่าวอยู่ที่ 10 ล้านคนต่อวันเท่านั้น
ปัจจุบันลูกค้าของซูมที่สมัครใช้บริการให้พนักงาน 10 คนขึ้นไปมีทั้งสิ้น 265,400 ราย โดยมี 769 รายที่มียอดชำระค่าบริการสูงกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐ
มูลค่าหุ้นของบริษัทสัญชาติอเมริกันแห่งนี้พุ่งขึ้น 3 เท่าภายในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันมีมูลค่าราวหุ้นละ 200 เหรียญสหรัฐหลังจากที่เริ่มต้นปี 2020 มีมูลค่าอยู่ที่หุ้นละ 68 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้งานลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากภาวะการระบาดของโควิด-19 เริ่มจะมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น และหลายบริษัทกำลังวางแผนที่จะกลับมาเปิดทำการและทำการประชุมภายในพื้นที่ออฟฟิศอีกครั้ง
ที่ผ่านมา แม้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าบริการของซูมไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ทั้งในเรื่องของการเข้ารหัสที่ไม่ได้ทำการเข้ารหัสไว้ทั้งสองฝั่ง รวมถึงการที่ไม่ได้เซ็ตให้มีการตั้งพาสเวิร์ดเป็นค่าเบื้องต้นตอนที่ตั้งห้องประชุม ทำให้ในบางกรณีมีการที่มีผู้ใช้งานแปลกหน้าสามารถเข้ามาร่วมการประชุมได้
ความกังวลเหล่านั้นทำให้ซูมตัดสินใจล้มเลิกแผนที่จะเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่ๆ และโฟกัสไปที่การพัฒนาด้านความปลอดภัยและพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา