ลอนดอน, 18 พ.ย. (ซินหัว) — รายงานฉบับล่าสุดของเนเจอร์อินเด็กซ์ (Nature Index) ระบุว่านับเป็นครั้งแรกที่หลายเมืองในจีนมีศูนย์กลางการวิจัยวิทยาศาสตร์คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งจากสิบอันดับชั้นนำของโลก โดยกรุงปักกิ่งของจีนยังคงรักษาตำแหน่งเมืองวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016
รายงานภาคผนวกด้านเมืองวิทยาศาสตร์ประจำปี 2025 ของเนเจอร์อินเด็กซ์ (Nature Index 2025 Science Cities) ฉบับล่าสุด ระบุว่าจำนวนเมืองในจีนที่ติดโผอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกเพิ่มขึ้นจาก 5 เมืองในปี 2023 เป็น 6 เมืองในปี 2024 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนครองการจัดอันดับส่วนใหญ่
รายงานภาคผนวกใช้ฐานข้อมูลของเนเจอร์ อินเด็กซ์ ซึ่งติดตามบทความวิจัยที่เผยแพร่ระหว่างปี 2015-2024 โดยการวิเคราะห์ใช้ตัวชี้วัดหลักคือ “ส่วนแบ่ง” (share) ที่สะท้อนระดับการมีส่วนร่วมของสถาบันต่อผลงานตีพิมพ์ พร้อมทั้งปรับข้อมูลชุดเวลาให้สอดคล้องกับระดับปี 2024 สำหรับส่วนแบ่งของแต่ละเมืองคำนวณจากผลรวมการมีส่วนร่วมของสถาบันทั้งหมดที่ตั้งอยู่ภายในเมืองนั้น
ข้อมูลจากเนเจอร์อินเด็กซ์ระบุว่าเมืองวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกโดยรวม ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เขตมหานครนิวยอร์ก เขตมหานครบอสตัน หนานจิง กว่างโจว เขตอ่าวซานฟรานซิสโก อู่ฮั่น เขตมหานครบัลติมอร์-วอชิงตันในสหรัฐฯ และหางโจว
กรุงปักกิ่งยังคงครองอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.14 ระหว่างปี 2023-2024 ส่วนเซี่ยงไฮ้มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 20 ขณะที่ส่วนแบ่งรวมทั้งหมดของเมืองในสหรัฐฯ ในสิบอันดับแรกกลับลดลง
ความคืบหน้าของหลายเมืองสะท้อนแนวโน้มที่กว้างขึ้นในดัชนีของจีนที่รุกขยายตำแหน่งผู้นำ ขณะที่สหรัฐฯ สูญเสียส่วนแบ่งไป
การวิเคราะห์เพิ่มเติมเผยว่าเมืองต่างๆ ในจีนมีจุดแข็งชัดเจนในสาขาเคมี วิทยาศาสตร์กายภาพ และวิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม โดยครองตำแหน่งผู้นำของโลกในทั้งสามสาขา โดยเฉพาะในสาขาเคมีที่กลุ่มเมืองของจีนครอง 10 อันดับแรกทั้งหมดเป็นครั้งแรก ส่วนอีกสองสาขา กลุ่มเมืองของจีนครอง 6 ใน 10 อันดับแรก ขณะที่กรุงปักกิ่งครองอันดับหนึ่งของโลกในทั้งสามสาขา
(แฟ้มภาพซินหัว : พนักงานประชาสัมพันธ์หนังสือผ่านการไลฟ์สดระหว่างงานมหกรรมหนังสือปักกิ่ง ปี 2025 ในกรุงปักกิ่งของจีน วันที่ 9 ม.ค. 2025)










