คุก 5 ปี แต่รับสารภาพลดโทษเหลือ 2 ปี 6 เดือน! อดีตนายก อบต.ลาโละ ลักลอบตัดต้นพะยอม 3 ต้นขายคนนอก 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์ชี้เป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อต้นเดือน มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ข้อมูลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ กรณีมีคำพิพากษาจำคุก นายยูโซ๊ะ ยะเอ๊ะ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จำเลย กรณีลักลอบขายต้นพะยอมในที่ทำการ อบต.ลาโละ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของ อบต.ลาโละ ให้แก่บุคคลอื่น ทำให้ราชการเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาท
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2558-ต้นเดือน ม.ค. 2559 นายยูโซะ ทำการขายต้นพะยอม 3 ต้น ให้แก่บุคคลอื่น ในราคา 5,000 บาท โดยไม่ได้รับอนุมัติจากสภา อบต.ลาโละ แล้วเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้ อบต.ลาโละ ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาท
นายยูโซ๊ะ ให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิด ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 (ศาลชั้นต้น) พิพากษาแล้วว่า นายยูโซ๊ะ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 (เดิม) มาตรา 151 (เดิม) พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 123/3 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 147 (เดิม) และมาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นบทหนัก แต่ความผิดทั้ง 2 บทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ตามมาตรา 147 (เดิม) เพียงบทเดียว จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ต่อมานายยูโซ๊ะ อุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า สมควรลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 (เดิม) ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดโทษก่อนลดโทษให้จำคุก 5 ปี เป็นการลงโทษขั้นต่ำของกฎหมาย ไม่อาจกำหนดให้ต่ำกว่านี้
ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นนายก อบต.ลาโละ ต้องทำหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนและตามที่กฎหมายกำหนด แต่จำเลยได้อาศัยโอกาสมีตำแหน่งดูแลรักษาต้นพะยอม 3 ต้น ที่ปลูกบริเวณที่ทำการของ อบต.ลาโละ โดยขายต้นพะยอมดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น แล้วเบียดบังเงินเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต นอกจากเป็นการแสวงหาผลประโยชน์มิชอบแล้ว กรณียังถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พนักงานที่มีภาระหน้าที่อย่างเช่นจำเลยจะได้ไม่กระทำความผิดอีก ดังนั้นแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จำเลยกระทำความผิดเป็นครั้งแรก จำเลยชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายหรือมีเหตุอื่นดังที่อ้างในอุทธรณ์ก็ตาม กรณียังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้รับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลชั้นต้นไม่รอลงโทษจำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย คำอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 (เดิม) มาตรา 151 (เดิม) และมาตรา 158 (เดิม) ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ผิดตามมาตรา 157 (เดิม) ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกนั้น เห็นว่า แม้มาตรา 147 และมาตรา 151 จะเป็นบทเฉพาะของมาตรา 157 แต่มาตรา 158 มิใช่บทเฉพาะของมาตรา 157 ดังนั้น จึต้องปรับบทความผิดมาตรา 157 อีกบทหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) อีกบทหนึ่งด้วย การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ใหเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
Credit : https://www.isranews.org/article/isranews/89651-isranews-167.html